ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีถูกฟ้อง: กระแสการต่อต้านการผูกขาด 

2024-09-13 | ยักษ์ใหญ่เทค

ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีถูกฟ้อง: กระแสการต่อต้านการผูกขาด 

กฎหมายต่อต้านการผูกขาด ซึ่งอาจเป็นคำที่นักลงทุนรายย่อยหลายคนมองข้ามไป กลับกลายเป็นอุปสรรคครั้งใหญ่สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Nvidia, Google, หรือ Apple ต่างก็เผชิญกับคดีความที่เกิดจากกฎระเบียบนี้ 

กฎหมายต่อต้านการผูกขาดคืออะไร บริษัทใดบ้างที่ได้รับผลกระทบ และกฎหมายเหล่านี้จะปรับเปลี่ยนทิศทางของวงการเทคโนโลยีโลกได้อย่างไร? บทความวันนี้จะเจาะลึกในรายละเอียดทุกแง่มุมเหล่านี้ พร้อมให้การวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นจากกฎหมายเหล่านี้ต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี 

กฎหมายต่อต้านการผูกขาดคืออะไร? 

คำว่า “ทรัสต์” ใน “กฎหมายต่อต้านการผูกขาด” หมายถึงกลุ่มของธุรกิจที่ร่วมมือกันเพื่อควบคุมตลาดเฉพาะด้าน กฎหมายต่อต้านการผูกขาดมีรากฐานมาจากพระราชบัญญัติเชอร์แมนและพระราชบัญญัติของคณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐ (Federal Trade Commission Act) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อจำกัดการควบรวมและการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ของบริษัทใหญ่ๆ 

โดยสรุป กฎหมายต่อต้านการผูกขาดถูกกำหนดขึ้นเพื่อส่งเสริมสภาพตลาดที่มีการแข่งขัน โดยป้องกันการครอบงำตลาดอย่างเกินควรโดยบริษัทใดบริษัทหนึ่งหรือกลุ่มบริษัทเพียงไม่กี่รายในตลาดเฉพาะด้าน 

กฎหมายต่อต้านการผูกขาดให้ประโยชน์อย่างมากแก่ผู้บริโภคโดยส่งเสริมตลาดที่มีการแข่งขัน ซึ่งช่วยให้มีทางเลือกมากขึ้น คุณภาพที่ดียิ่งขึ้น และราคาที่เป็นธรรมยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมและป้องกันการควบคุมโดยผูกขาด 

บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีกับกระแสต่อต้านการผูกขาด 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งมีผู้นำตลาดที่มีบทบาทสำคัญ บริษัทเหล่านี้มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและสามารถสร้างรายได้ในปริมาณมหาศาล 

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานกำกับดูแล เช่น กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) ได้เข้ามามีบทบาทเพื่อยับยั้งแนวโน้มการผูกขาดเหล่านี้ โดยได้เริ่มต้นการเคลื่อนไหวด้านกฎหมายต่อต้านการผูกขาดที่สำคัญต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์เหล่านี้ 

ตัวอย่างบริษัทชั้นนำบางแห่งที่กำลังเผชิญกับการกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้นในปัจจุบัน 

Apple กับปัญหาการเผชิญกฎหมายต่อต้านการผูกขาด 

ปีนี้ได้เริ่มต้นด้วยการยื่นฟ้องคดีต่อต้านการผูกขาดที่สำคัญต่อ Apple โดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) คดีนี้กล่าวหา Apple ว่ามีการดำเนินมาตรการที่เป็นการจำกัด ซึ่งส่งผลให้เกิดการกีดกันการแข่งขันและยับยั้งการพัฒนานวัตกรรม โดยมีดังนี้ 

  • การบล็อกแอป: Apple ได้ขัดขวางการพัฒนาแอปที่มีฟังก์ชันการทำงานหลากหลาย ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ใช้สลับใช้งานระหว่างแพลตฟอร์มสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวก  
  • การจำกัดการสตรีมมิ่งผ่านคลาวด์: Apple ได้กีดกันบริการสตรีมมิ่งผ่านคลาวด์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเกมและแอปคุณภาพสูงได้โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ราคาแพง 
  • การจำกัดการใช้งานแอปส่งข้อความข้ามแพลตฟอร์ม: Apple ได้ทำให้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของแอปส่งข้อความระหว่างแพลตฟอร์มด้อยลง เพื่อผูกมัดผู้ใช้ให้อยู่กับ iPhone 
  • การควบคุมความสามารถของสมาร์ทวอทช์: Apple ได้จำกัดฟีเจอร์ของสมาร์ทวอทช์จากผู้พัฒนาภายนอก ส่งผลให้ผู้ใช้ต้องอยู่ในเครือข่ายผลิตภัณฑ์และบริการของ Apple เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติม 
  • การควบคุมการใช้งานกระเป๋าเงินดิจิทัล: Apple ได้ปิดกั้นไม่ให้กระเป๋าเงินดิจิทัลจากผู้พัฒนารายอื่นใช้ฟีเจอร์แตะเพื่อจ่าย ส่งผลให้ศักยภาพการใช้งานข้ามแพลตฟอร์มถูกจำกัด 

ผลกระทบต่อตลาด 

หลังจากการประกาศการฟ้องร้องในเดือนมีนาคม หุ้นของ Apple (AAPL) ตกลงทันที 3.32% ในวันเดียว ภายในกลางเดือนเมษายน ราคาหุ้นลดลงแตะจุดต่ำสุดใหม่ของปีที่ $164 ซึ่งถือเป็นการลดลงเกือบ 9% ภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว ปัจจุบัน หุ้นของ Apple ยังคงลดลงอีก 5.4% จากจุดสูงสุดล่าสุด ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่ต่ำ 

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า คดีฟ้องร้องนี้อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นถึงการดำเนินการที่เข้มงวดมากขึ้นโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) ต่อบริษัทเทคโนโลยีในปีนี้ ซึ่งอาจเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่มีผลกระทบต่อภูมิทัศน์ทางการเงินของบริษัทเหล่านี้ในอนาคต 

การพ่ายแพ้คดีครั้งแรกของ Google ในเรื่องการต่อต้านการผูกขาด 

เมื่อต้นเดือนสิงหาคม Google ต้องเผชิญกับคำตัดสินสำคัญในคดีต่อต้านการผูกขาด หลังถูกตัดสินว่าละเมิดกฎหมายโดยจ่ายเงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทต่าง ๆ เช่น Samsung และ Apple เพื่อให้ Google เป็นเสิร์ชเอนจินเริ่มต้นบนอุปกรณ์ของพวกเขา คำตัดสินนี้นับเป็นชัยชนะสำคัญครั้งแรกของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) ในการต่อสู้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี 

เมื่อวันที่ 9 กันยายน กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) ได้ยกระดับการดำเนินคดีด้วยการเปิดการสอบสวนครั้งที่สองต่อ Google โดยกล่าวหาว่า Google มีความพยายามที่จะผูกขาดตลาดโฆษณาออนไลน์ โดยที่ Google เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้เผยแพร่โฆษณาสำหรับการลงโฆษณา และจากผู้โฆษณาที่จัดการแคมเปญผ่าน Google Ads หรือ Display & Video 360 ดูภาพประกอบด้านล่างนี้เพื่อข้อมูลเพิ่มเติม 

จากเหตุการณ์เหล่านี้ ทำให้หุ้นของ Alphabet Inc. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ร่วงลงมากกว่า 6% ภายในเพียงสองวันทำการ นอกจากนี้ Google ยังเผชิญกับความเสี่ยงที่อาจต้องแยกส่วนธุรกิจออกไป โดยบริการหลัก เช่น AdWords, Chrome และอาจรวมถึง Android กำลังถูกตรวจสอบในเรื่องการกระทำที่อาจเป็นการกีดกันการแข่งขันในตลาด 

Nvidia ถูกขึ้นบัญชี 

ภายหลังจาก Google ถูกตรวจสอบ  Nvidia เป็นอีกหนึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่อยู่ภายใต้การพิจารณาของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา DOJ ได้ออกหมายเรียก Nvidia และบริษัทอื่น ๆ หลายแห่ง เพื่อเสริมสร้างความเข้มงวดในการรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด AI ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว 

ข่าวนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเสถียรภาพในอนาคตของ Nvidia ทำให้ราคาหุ้นลดลงอย่างมาก หลังการประกาศ หุ้นของ Nvidia ร่วงลงถึง 22.8% ส่งผลให้มูลค่าตลาดลดลงเกือบ 700 พันล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ 

ทิศทางต่อไปของวงการเทคโนโลยี 

ผลกระทบระยะสั้น 

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าผู้นำตลาดจะไม่ยอมสูญเสียตำแหน่งของตนไปอย่างง่ายดายเพียงเพราะการดำเนินการของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) ประวัติการณ์ในอดีตชี้ให้เห็นว่าผลกระทบจากการสอบสวนลักษณะนี้มักก่อให้เกิดความกังวลใจเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น เนื่องจากกระบวนการสอบสวนที่ยืดเยื้อเป็นเวลาหลายปีทำให้ความกังวลในช่วงแรกค่อย ๆ จางหายไป และความสนใจจะกลับมาที่ความสามารถในการสร้างรายได้ของบริษัทอีกครั้ง 

ด้วยทรัพยากรอันมหาศาลที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีมีอยู่ เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงอนาคตที่ย่ำแย่สำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แม้จะมีความท้าทายระยะสั้นที่อาจเกิดขึ้นจากการตรวจสอบของหน่วยงานกำกับดูแล แต่ด้วยความแข็งแกร่งภายในของอุตสาหกรรมและความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและสร้างรายได้ ชี้ให้เห็นว่าอุตสาหกรรมนี้จะยังคงเจริญเติบโตต่อไปได้ 

เทคโนโลยีไม่ใช่ “ฟองสบู่” 

แม้จะมีการเติบโตอย่างมหาศาล แต่บางคนยังเชื่อว่าความเฟื่องฟูของ AI อาจเป็นแค่ฟองสบู่เหมือนกับฟองสบู่ดอทคอมหรือกระแสเทคโนโลยีหลังการระบาดของโรคระบาด อย่างไรก็ตาม การพิจารณาจากกราฟแสดงให้เห็นว่าเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาดังกล่าว มูลค่าหุ้นเทคโนโลยีในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล โดยมีการคาดการณ์การเติบโตของกำไรเฉลี่ยที่ 20% 

โดยรวมแล้ว แนวโน้มการเติบโตโดยเฉพาะของภาคเทคโนโลยีและ AI ยังคงมีความแข็งแกร่ง ผู้เชี่ยวชาญจาก Blackrock เชื่อว่าการพัฒนา AI และทุกสาขาที่เกี่ยวข้องทำให้การลงทุนในตลาดนี้เป็นการลงทุนที่มีศักยภาพสูง 

บทสรุป 

ท่ามกลางการสอบสวนด้านการผูกขาดที่เกิดขึ้นในระยะหลัง การชะลอตัวชั่วคราวในภาคเทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากตลาดมีความผัวผวน นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับแนวโน้มการเติบโตระยะยาว นวัตกรรม และความต้องการของอุตสาหกรรม มากกว่าจะให้ความสำคัญเพียงแค่การลดลงล่าสุด อีกทั้งควรพิจารณาถึงความสามารถของบริษัทในการปรับตัวและการบริหารจัดการความเสี่ยงทางกฎหมายด้วยเช่นกัน 

เมื่อสังคมมีความก้าวหน้าไปพร้อมกับเทคโนโลยี เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงตลาดในอนาคตที่ AI และธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะมีประสิทธิภาพได้ไม่ดีนัก ดังนั้น จงมั่นใจในการตัดสินใจของคุณ ตอบสนองต่อข้อมูลใหม่ด้วยการปรับตัว ปรับตัวให้สอดคล้องกับข้อมูลใหม่ และเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายจากทั้งนโยบายมหภาคและปัจจัยภายในของบริษัทที่คุณลงทุน 


การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง   

หลักทรัพย์, ฟิวเจอร์ส, CFDs และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น ๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของตราสารทางการเงินพื้นฐาน อันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยและไม่สามารถคาดเดาได้ อาจทำให้เกิดการขาดทุนจำนวนมากเกินกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นของคุณภายในระยะเวลาอันสั้น 
กรุณาตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายตราสารทางการเงินแต่ละประเภทอย่างครบถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมใด ๆ กับเรา หากคุณไม่เข้าใจความเสี่ยงที่ได้อธิบายไว้ คุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน 

ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย 
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำในการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือการเชิญชวนให้ซื้อหรือขายตราสารทางการเงินใด ๆ ข้อมูลนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์ในการลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้เทรดแต่ละราย การอ้างอิงถึงผลการดำเนินงานในอดีตไม่อาจนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดที่น่าเชื่อถือสำหรับผลการดำเนินงานในอนาคตได้ Doo Prime และบริษัทในเครือไม่ได้ให้การรับรองหรือการรับประกันใด ๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลนี้ หรือจากการลงทุนที่ทำขึ้นบนพื้นฐานของข้อมูลดังกล่าว 

IconBrandElement

IconBrandElement