ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและตลาดหุ้นเป็นประเด็นที่น่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี นักลงทุน นักวิเคราะห์ และเทรดเดอร์มักคาดเดาว่าผลการเลือกตั้งอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดได้อย่างไร เพื่อค้นหาความเป็นไปได้ เราสามารถวิเคราะห์ผลตอบแทนของตลาดหุ้นในช่วงปีการเลือกตั้งล่าสุด และสำรวจว่าปีเหล่านี้เป็นไปตามแนวโน้มที่่เคยเป็นมาหรือไม่ การทำความเข้าใจรูปแบบเหล่านี้สามารถช่วยให้นักลงทุนวางตำแหน่งพอร์ตการลงทุนของตนด้วยกลยุทธ์สำหรับการเลือกตั้งสหรัฐปี 2024
บริบทและพฤติกรรมของตลาด
แนวคิด “presidential cycle” แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะเป็นไปตามรูปแบบโดยอิงตามวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสี่ปี โดยปกติแล้ว ช่วงครึ่งหลังของวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มักจะถูกมองว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับตลาด ทฤษฎีนี้มีพื้นฐานมาจากความเชื่อที่ว่าประธานาธิบดีอยากที่จะเลือกตั้งใหม่หรือมีเป้าหมายที่จะเสริมความแข็งแกร่งของอำนาจพรรค ด้วยการใช้นโยบายเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
เรามาเจาะลึกถึงข้อมูลเฉพาะของการเลือกตั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อดูว่าสอดคล้องกับวัฏจักรนี้หรือไม่
การเลือกตั้งปี 2016: ทรัมป์กับคลินตัน
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐประจำปี 2016 ซึ่งเป็นการแข่งขันระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และ ฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต จากการเลือกตั้งที่มีความไม่แน่นอนของผู้ชนะทำให้เกิดความผันผวนในตลาด ในคืนวันเลือกตั้ง เราเห็นได้ชัดว่าทรัมป์จะชนะและตลาดฟิวเจอร์สเริ่มดิ่งลง อย่างไรก็ตาม S&P 500 ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันรุ่งขึ้นและพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 40% จนถึงปี 2018
ผลการดำเนินงานของตลาด
- ก่อนการเลือกตั้ง: S&P 500 เผชิญกับความผันผวน ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของตลาด
- หลังการเลือกตั้ง: หลังจากชัยชนะของทรัมป์ ตลาดก็พุ่งสูงขึ้น โดยได้แรงหนุนมาจากการลดภาษี การลดกฎระเบียบ และการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน
การเลือกตั้งปี 2020: ไบเดนกับทรัมป์
การเลือกตั้งปี 2020 จัดขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การคาดการณ์จากตลาดมีความซับซ้อนมากขึ้น ชัยชนะของ โจ ไบเดน จาก พรรคเดโมแครต อยู่เหนือโดนัลด์ ทรัมป์ ควบคู่ไปกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สำคัญอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาด แม้จะมีความไม่แน่นอน แต่ S&P 500 ก็มีปฏิกิริยาเชิงบวกหลังการเลือกตั้งและเพิ่มขึ้นประมาณ 50%
ผลการดำเนินงานของตลาด:
- ก่อนการเลือกตั้ง: ตลาดมีความผันผวน โดยได้รับอิทธิพลมาจากความกังวลเรื่องโรคระบาดและความไม่แน่นอนในการเลือกตั้ง
- หลังการเลือกตั้ง: หลังจากชัยชนะของไบเดน ตลาดก็พุ่งสูงขึ้น โดยมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการพัฒนาวัคซีน
เปรียบเทียบรูปแบบ
การวิเคราะห์การเลือกตั้งสองปีนี้เผยให้เห็นความคล้ายคลึงบางประการ
- ความผันผวนก่อนการเลือกตั้ง: การเลือกตั้งทั้งสองครั้งมีความผันผวนเพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนก่อนการเลือกตั้ง โดยได้รับแรงหนุนมาจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลลัพธ์และการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่อาจเกิดขึ้น
- การพุ่งขึ้นหลังการเลือกตั้ง: แม้จะมีปฏิกิริยาในช่วงแรก แต่ตลาดก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นตามผลของการเลือกตั้ง การปรับตัวขึ้นนี้มักได้รับแรงหนุนจากการมองโลกในแง่ดีของนักลงทุนเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและเสถียรภาพในอนาคต
ตลาดหุ้นได้รับผลตอบแทนเป็นลบในปี พ.ศ. 2503, 2543 และ 2551 ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย
Presidential Cycle และผลตอบแทนของตลาด
ทฤษฎีวัฏจักรของประธานาธิบดีชี้ให้เห็นว่าตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวแตกต่างกันออกไปในตลอดสี่ปีของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งในอดีต สองปีแรกอาจมีการเติบโตที่ลดลงเมื่อมีการบังคับใช้นโยบายใหม่ ในขณะที่ปีที่สามและสี่มักจะเห็นถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นเนื่องจากฝ่ายบริหารพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ
การวิเคราะห์วงจรรอบล่าสุด
วาระที่สองของโอบามา (2012-2016):
- ปีการเลือกตั้ง 2012: ตลาดแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น โดยดัชนี S&P 500 ได้ปิดบวกในปลายปี ชัยชนะจากการเลือกตั้งของโอบามาในรอบที่สอง ทำให้เกิดความต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดชื่นชอบ
- 2013: ปีที่แข็งแกร่งสำหรับตลาด ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีวงจรประธานาธิบดีว่าจะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปีที่สาม
- 2014-2015: ประสิทธิภาพของตลาดยังคงเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2558 เนื่องจากข้อกังวลทางเศรษฐกิจต่างๆทั่วโลก
- 2016: ตามที่ระบุไว้ ความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญจากการเลือกตั้ง ตามมาด้วยการพุ่งขึ้นของตลาดหลังการเลือกตั้ง
ระยะเวลาของทรัมป์ (2016-2020)
- 2017: โดดเด่นด้วยการฟื้นตัวของตลาดที่แข็งแกร่ง ซึ่งได้แรงหนุนมาจากความพยายามในการปฏิรูปภาษีและการยกเลิกกฎระเบียบ
- 2018: ปีที่ผันผวนมากขึ้น โดยได้รับอิทธิพลมาจากความตึงเครียดทางการค้าและปัจจัยอื่นๆ ทั่วโลก
- 2019: อีกหนึ่งปีที่แข็งแกร่งของตลาด ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีที่ว่าปีที่สามของวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมีแนวโน้มที่จะทำงานได้ดี
- 2020: มีความผันผวนสูงจากการแพร่ระบาด แต่มีการขึ้นของราคาหลังการเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญดังที่ระบุไว้
ระยะเวลาของ Biden (2020-2024)
ตำแหน่งประธานาธิบดีของโจ ไบเดนมีลักษณะเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญและผลกระทบต่อตลาด ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และการพัฒนาทางภูมิรัฐศาสตร์
2021: การฟื้นตัวและการกระตุ้น
- ปีแรกของวาระไบเดนมุ่งเน้นไปที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาด American Rescue Plan ซึ่งเป็นแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการจ่ายเงินโดยตรงให้กับบุคคลทั่วไป การขยายสิทธิประโยชน์การว่างงาน และการสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก
- ผลกระทบต่อตลาด: S&P 500 มีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยปิดปลายปีเพิ่มขึ้นประมาณ 27% สาเหตุนี้ได้รับแรงหนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ การฉีดวัคซีน และการมองในแง่ดีของนักลงทุนเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
2022: อัตราเงินเฟ้อและการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
- อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นกลายเป็นประเด็นสำคัญในปี 2565 เนื่องจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและความต้องการของผู้บริโภคที่สูงส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐตอบโต้ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ
- ผลกระทบต่อตลาด: ตลาดมีความผันผวนเพิ่มขึ้น โดยมีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งนำไปสู่ความผันผวน S&P 500 ปรับตัวลดลง สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของนักลงทุนต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
2023: การมุ่งเน้นด้านกฎหมายและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
- ฝ่ายบริหารของไบเดนยังคงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและแผนการใช้จ่ายทางสังคม รวมถึงการลดเงินเฟ้อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวและสนับสนุนโครงการริเริ่มด้านพลังงานสีเขียว
- ผลกระทบต่อตลาด: ตลาดมีสัญญาณของเสถียรภาพเนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อผ่อนคลายลง และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ดีขึ้น โดยเฉพาะภาคส่วนสำคัญ เช่น เทคโนโลยีและพลังงานหมุนเวียน ได้รับการส่งเสริมจากนโยบายของรัฐบาล
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อตลาดในปีการเลือกตั้ง
ปัจจัยหลายประการที่สามารถมีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นในช่วงปีการเลือกตั้ง:
- ความไม่แน่นอนของนโยบาย: การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในนโยบายการคลัง กฎระเบียบ และการค้าสามารถสร้างความไม่แน่นอน ซึ่งนำไปสู่ความผันผวนของตลาด
- ภาวะเศรษฐกิจ: สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงปัจจัยต่างๆ เช่น การเติบโตของ GDP อัตราการว่างงาน นโยบายการเงิน และรายได้ของบริษัท
- เหตุการณ์ระดับโลก: ปัจจัยภายนอก เช่น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเศรษฐกิจโลก และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น การระบาดใหญ่ของโควิด-19 อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพของตลาด
แล้วการเลือกตั้งสหรัฐปี 2024 ที่กำลังจะมีขึ้นล่ะ?
แม้ว่าจะไม่มีรูปแบบที่แน่นอน แต่การเลือกตั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่าตลาดมักประสบกับความผันผวนก่อนการเลือกตั้ง ตามมาด้วยการพุ่งขึ้นหลังการเลือกตั้ง แนวโน้มนี้สอดคล้องกับทฤษฎีวงจรของประธานาธิบดี ซึ่งชี้ให้เห็นว่าช่วงระยะเวลาหนึ่งภายในวาระของประธานาธิบดีจะเอื้ออำนวยต่อผลการดำเนินงานของตลาด
นักลงทุนควรตระหนักถึงปัจจัยเฉพาะที่มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งของแต่ละครั้ง และใช้กลยุทธ์ที่คำนึงถึงความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่อาจเกิดขึ้น ด้วยการทำความเข้าใจรูปแบบทางประวัติศาสตร์และการรักษาแนวทางที่ยืดหยุ่น นักลงทุนจึงสามารถจัดการกับความซับซ้อนของปีการเลือกตั้งในตลาดหุ้นได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ นักลงทุนควรติดตามชมการอภิปรายชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2024 ระหว่างไบเดนและทรัมป์ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน เหตุการณ์นี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของผู้สมัครและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อตลาด
การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง
การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย
โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง
ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย
ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล