Search Mark
หน้าแรก / คลังความรู้

ราคาทองพุ่งทำนิวไฮ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของตลาดขาขึ้นหรือไม่


ราคาทองคำกำลังท้าทายแรงขายและอยู่ในเส้นทางที่ราคาจะไปถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ก็ตาม อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีข่าวการลดดอกเบี้ยเช่นกัน กลไกของตลาดชี้ให้เห็นว่าสินทรัพย์ที่ปลอดภัยควรที่จะสูญเสียโมเมนตัมขาขึ้น เนื่องจากนักลงทุนจะมองหาการลงทุนที่ปลอดภัยกว่าพร้อมกับผลตอบแทนที่สูง เช่น พันธบัตร 

อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้ความต้องการทองคำยังคงมีมากและมั่นคง ความกังวลการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงสกุลเงินที่หนุนด้วยทองคำของกลุ่ม BRICS การป้องกันความเสี่ยงจากความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะถดถอย และอื่นๆ ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้นักลงทุนตั้งคำถามว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นขาขึ้นของตลาดทองคำครั้งใหม่หรือไม่ 

ทองคำจะสามารถพุ่งเหนือแนวต้านราคาจิตวิทยาที่ 2,000 เหรียญสหรัฐได้หรือไม่? 

ในบทความนี้ เราจะย้อนกลับไปในอดีตและทำความเข้าใจพฤติกรรมของราคาโดยสำรวจปัจจัยสำคัญหลายๆอย่างที่ทำให้ทองคำเป็นการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนจำนวนมาก นอกจากนี้ เราจะสำรวจว่าตัวเร่งปฏิกิริยาพื้นฐานชนิดใดที่สามารถเป็นตัวกระตุ้นการขึ้นของราคาเพื่อทำจุดสูงสุดใหม่ 

กาลเวลาพิสูจน์ความแข็งแกร่งของทองแล้ว

ก่อนที่เราจะวิเคราะห์ถึงอนาคต เราต้องมองย้อนกลับไปที่ประวัติของทองคำก่อน เพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของราคาในปัจจุบันให้ดียิ่งขึ้น 

ราคาทองคำมีความผันผวนอย่างมากในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวเหล่านี้สร้างรูปแบบบางอย่างที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุน การทำความเข้าใจพฤติกรรมราคาเหล่านี้ในบริบทเมื่ออดีต เราสามารถเข้าใจปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อราคาทองคำได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น 

ก่อนปี 1971 ราคาทองคำถูกผูกไว้กับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ประมาณ 35 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ทุกดอลลาร์ที่หมุนเวียนในตลาดนั้นมีทองคำเป็นหลักประกัน พูดง่ายๆ ก็คือ เฟดไม่สามารถพิมพ์เงินจำนวนมหาศาลได้เหมือนที่ทำอยู่ทุกวันนี้ 

อย่างไรก็ตาม ในปี 1971 ประธานาธิบดี Nixon ของสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนแปลงระบบการเงินโลกในชั่วข้ามคืน เพราะเขาได้ละทิ้งมาตรฐานทองคำ ซึ่งต้องมีการตัดสินใจเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อของประเทศ

การตัดสินใจครั้งนี้นำไปสู่การสูญเสียความเชื่อมั่นในสกุลเงินดอลลาร์และความต้องการทองคำที่เพิ่มมากขึ้น ก่อให้เกิดภาวะเงินฝืดในทศวรรษ 1970 และท้ายที่สุดเป็นการสิ้นสุดของระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ของ Bretton Woods 

เหตุการณ์เหล่านี้นำไปสู่ความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้นมหาศาลและทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นกว่า 2,000% ในปี 1970 โดยเพิ่มขึ้นจาก 35 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็น 850 ดอลลาร์สหรัฐฯ 

หลังจากที่การขึ้นอย่างรุนแรงสงบลง ในอีก 20 ปีต่อมา ราคาทองคำยังคงซื้อขายค่อนข้างคงที่ระหว่าง 200 ถึง 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ 

คลื่นขาขึ้นลูกต่อไปเริ่มก่อตัวขึ้นหลังจากฟองสบู่ดอทคอมแตก ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 เป็นอีกครั้งที่ความกังวลเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้ฟื้นความต้องการทองคำหลังจากที่สะสมราคามาเป็นเวลาหลายปี 

โลหะปลอดภัยพุ่งขึ้นประมาณ 600% และแตะที่ราคาถึง 1,000 เหรียญสหรัฐ แต่ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น 

วิกฤตการเงินซับไพรม์ในปี 2008 ทำให้ระบบการเงินโลกตกอยู่ในความเสี่ยง สิ่งนี้ทำให้เฟดและธนาคารกลางทั่วโลกเข้าแทรกแซงและขยายงบดุลเพื่อรักษาเศรษฐกิจโลก 

ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจแบบต่อเนื่องในปี 2000 และ 2008 ก่อให้เกิดการตื่นทองครั้งประวัติศาสตร์ซึ่งทำให้ทองคำรับผลกำไรมากกว่า 600% เราสามารถพูดได้ว่านักลงทุนทองคำระยะยาวเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดในช่วงเวลานั้น เนื่องจากราคาสินทรัพย์สูงถึง 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ 

หลังจากที่ทองคำถึงจุดสูงสุดในปี 2011 รูปแบบการสะสมราคาแบบเดิมที่เห็นในช่วงปี 1980-1990 ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ COVID-19 ได้เพิ่มแรงซื้อและทำให้ความต้องการทองคำกลับมา  

เป็นอีกครั้งที่ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าแทรกแซงด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยให้ใกล้ศูนย์ และเพิ่มงบดุลเป็นสองเท่าจนเป็นสถิติสูงสุดใหม่ นี่เป็นรูปแบบที่คุ้นเคยซึ่งเกิดขึ้นหลังจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ในทศวรรษที่ผ่านมา 

หลังจากภาวะถดถอยและการแทรกแซงของธนาคารกลางทุกครั้ง ทองคำจะทำลายสถิติสูงสุดใหม่ ในปี 2020 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ทองคำทะลุกรอบทางจิตวิทยาที่ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ 

อย่างน้อยก็ชั่วคราว 

นับตั้งแต่ฤดูร้อนปี 2020 ขาขึ้นของทองคำ ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าในความพยายามที่จะทำลายสถิติสูงสุดของ USD 2,075 สามครั้งที่ทองคำพยายามทะลุผ่านให้ได้ แต่แรงขายก็เข้ามาและผลักพวกเขากลับลงไป 

อย่างไรก็ตาม การดึงกลับของราคานั้นเป็นเวลาที่สั้นกว่าเมื่อเทียบกับความผันผวนในอดีต ความต้องการทองคำยังคงแข็งแกร่งแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกจะสูงขึ้นก็ตาม เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ เช่น ภาวะถดถอย รวมถึงเฟดจะสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อก่อนที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้หรือไม่? เราจะได้เห็นแรงซื้อทะลุทะลวงและขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่ หรือแรงขายจะยังคงคุมราคาต่อไปได้หรือไม่? 

เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ เราจำเป็นต้องเจาะลึกถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญบางประการ 

ธนาคารกลาง 3 อันดับแรกที่ซื้อทองคำในไตรมาสที่ 1 ปี 2023

ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังซื้อทองคำในอัตราที่เร็วเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากอุปสงค์สูงถึง 228 ตันในไตรมาสที่ 1 ซึ่งสูงกว่าบันทึกในไตรมาสที่ 1 ปี 2013 ถึง 34% นี่เป็นสัญญาณสำคัญที่แสดงถึงความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเศรษฐกิจโลกและปกป้องเงินสำรองจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ 

นอกจากผู้ซื้อรายสำคัญเหล่านี้แล้ว อินเดีย สาธารณรัฐเช็ก และฟิลิปปินส์ก็มีการซื้อที่มากขึ้นเช่นกัน ในขณะเดียวกัน ทองคำสำรองของรัสเซียลดลง 6 ตัน แต่ยังคงสูงกว่าตัวเลขล่าสุดที่รายงานโดยธนาคารกลางเมื่อปีที่แล้วถึง 28 ตัน 

อีกทางเลือกหนึ่งคือธนาคารรายใหญ่เช่น JP Morgan รายงานว่าธนาคารยังคงเชื่อว่าในระยะยาวทั้งราคาทองคำและแร่เงินจะยังคงเป็นขาขึ้นในขณะที่เรากำลังเข้าใกล้จุดสิ้นสุดของวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด Citi Group มองว่าราคาทองคำอาจพุ่งไปที่ 2,100 ดอลลาร์/ออนซ์ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 

การซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องโดยธนาคารกลางและธนาคารเพื่อการลงทุนรายใหญ่มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนราคาของทองคำในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นี่อาจเป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการเพิ่มทองคำในพอร์ตการลงทุนและปกป้องความมั่งคั่งของพวกเขา 

ติดตาม Smart Money

Invesco เพิ่งเปิดตัวผลสำรวจทั่วโลกประจำปีเกี่ยวกับกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ 85 กองทุนและธนาคารกลาง 57 แห่ง ซึ่งรวมกันบริหารเงินมากถึง 21 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นี่คือประเด็นที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับทองคำที่เรารวบรวมมาจากการสำรวจ

โดยสรุป หากเรารวมข้อมูลทั้งสองอย่างนี้เข้าด้วยกัน เราจะสรุปได้ว่าเงินจำนวนมากกำลังจัดสรรทุนใหม่ออกจากพันธบัตรที่ผันผวน และพวกเขากำลังซื้อทองคำและเตรียมพร้อมสำหรับอัตราเงินเฟ้อในระดับสูง 

สกุลเงินค้ำประกันโดยทองคำของกลุ่มประเทศ BRICS

จากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อรัสเซีย กลุ่มประเทศ BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) กำลังนำกระแสโลกเปลี่ยนจากเงินดอลลาร์สหรัฐโดยการสร้างทางเลือกในการค้าโดยไม่ต้องพึ่งเงินดอลลาร์สหรัฐ หากทำสำเร็จ อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบการเงินโลก และราคาทองคำอาจพุ่งสูงขึ้น 

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสกุลเงินสำรองของโลกมาเกือบศตวรรษ กำลังเผชิญกับความท้าทายที่หนักหนาที่สุด อย่างไรก็ตาม ยังเร็วเกินไปที่นักลงทุนจะตื่นตระหนก จากข้อมูลล่าสุดของ IMF สกุลเงินดอลลาร์ยังคงเป็นค่าเงินหลักเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ที่มีส่วนแบ่งตลาด 59% 

นอกจากนี้ นักลงทุนจำเป็นต้องเข้าใจว่าสกุลเงิน BRICS ที่มีทองคำค้ำประกันนั้นไม่ใช่สกุลเงินใหม่ แต่เป็นกลไกสำหรับการใช้ทองคำเพื่อชำระการซื้อขายระหว่างกัน สิ่งนี้ทำให้กลุ่มประเทศ BRICS ไม่หวั่นไหวต่อความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจทำให้พวกเขามีอิสระทางเศรษฐกิจมากขึ้นและมีโอกาสเติบโตมากขึ้น 

มากกว่า 40 ประเทศสนใจที่จะเข้าร่วมระบบของ BRICS ที่มีทองคำค้ำอยู่ ซึ่งมีซาอุดีอาระเบียเป็นหนึ่งในนั้น ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก และหากเข้าร่วมระบบนี้ มันจะเป็นชัยชนะครั้งใหญ่สำหรับกลุ่มประเทศ BRICS และเป็นระเบิดครั้งใหญ่ต่อสหรัฐอเมริกา 

โดยรวมแล้ว ความพยายามของกลุ่มประเทศ BRICS ในการสร้างระบบการค้าที่มีทองคำหนุนหลังเป็นการพัฒนาที่สำคัญในระบบการเงินโลก หากประสบความสำเร็จ ความพยายามเหล่านี้อาจนำไปสู่ระบบการเงินโลกแบบหลายขั้วมากขึ้น ซึ่งเงินดอลลาร์สหรัฐจะไม่ใช่สกุลเงินหลักอีกต่อไป ซึ่งจะส่งผลหลายประการต่อเศรษฐกิจโลกและเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรจับตามอง  

เมื่อการประชุมสุดยอดกลุ่ม BRICS ครั้งต่อไปใกล้เข้ามาในวันที่ 22 สิงหาคม การพัฒนาเชิงบวกใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการประชุมดังกล่าวอาจนำไปสู่การแกว่งขึ้นของราคาทองคำ ดังนั้น นักลงทุนควรให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับผลลัพธ์ของการประชุม 

ยังมีหวังสำหรับครั้งที่ 4 หรือไม่

นักลงทุนควรติดตามโซนแนวต้านปี 2000-2075 สำหรับขาขึ้นที่อาจเกิดขึ้นในตลาดทองคำ อย่างไรก็ตาม หากต้องการทำสถิติสูงสุดใหม่ ตลาดทองคำอาจต้องการตัวกระตุ้นใหม่ อาจจะเป็นอะไรก็ได้จากความกลัวเงินเฟ้อที่กลับมาใหม่ รวมถึงเฟดหันมาใช้นโยบายการเงินและเริ่มลดอัตราดอกเบี้ย หรือการพัฒนาที่แข็งแกร่งของสกุลเงิน BRICS ที่มีทองคำหนุนหลัง 

มีบางอย่างที่จะกระตุ้นให้คลื่นลูกต่อไปพุ่งขึ้น เพื่อให้เราเห็นระดับ 2,500 และ 3,000 เมื่อราคาทองคำขึ้นสูงสุดประวัติการณ์ด้วยโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง ผู้ขายชอร์ตอาจถูกบังคับให้ปิดสถานะ ส่งให้ราคาทองคำสูงขึ้นแบบพาราโบลา 

เมื่อเราเฝ้าสังเกตตลาดทองคำ การจับตาดูปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนประเมินความเป็นไปได้ของการทะลุระดับอย่างมีนัยสำคัญและโอกาสที่ราคาจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต 

| เกี่ยวกับ Doo Prime          

เครื่องมือการซื้อขายของเรา        

หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีหุ้น       

Doo Prime เป็นโบรกเกอร์ออนไลน์ระดับนานาชาติภายใต้บริษัท Doo Group ที่ให้นักลงทุนมืออาชีพได้ซื้อขายหลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้น ปัจจุบัน Doo Prime มอบประสบการณ์การซื้อขายที่ดีที่สุดให้ลูกค้ามากกว่า 90,000 คน โดยมีอัตราการซื้อขายเฉลี่ย 51,223 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน       

Doo Prime มีใบอนุญาตจากเซเชลส์ เมอริเชียส วานูอาตู โดยมีสำนักงานในดัลลัส ซิดนีย์ สิงคโปร์ ฮ่องกง กัวลาลัมเปอร์ และอีกหลายสำนักงานทั่วโลก        

ด้วยเทคโนโลยีการเงินที่สมบูรณ์แบบ พันธมิตรที่แข็งแกร่ง และทีมที่มีประสบการณ์ Doo Prime ให้ประสบการณ์การซื้อขายที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ให้ราคาการซื้อขายที่ดี รวมไปถึงวิธีการฝาก-ถอนที่รับรอง 22 สกุลเงิน อีกทั้ง Doo Prime ยังให้การบริการลูกค้าในหลากหลายภาษาตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถทำการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์ม MT4, MT5, TradingView, และ InTrade ที่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 10,000 รายการ        

วิสัยทัศน์และภารกิจของ Doo Prime คือการเป็นองค์กรเทคโนโลยีการเงินในฐานะโบรกเกอร์ด้านการลงทุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินระดับโลก        

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Doo Prime โปรดติดต่อ        

โทรศัพท์        
ยุโรป : +44 11 3733 5199          
เอเชีย : +852 3704 4241           
เอเชีย – สิงคโปร์: +65 6011 1415          
เอเชีย – จีน : +86 400 8427 539            

อีเมล      
ฝ่ายบริการด้านเทคนิค [email protected]          
ฝ่ายขาย [email protected]         

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)           

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)         

บทความนี้มีข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement) ปรากฏอยู่ เช่นคำว่า “คาดการณ์ว่า” “เชื่อว่า” “ต่อไป” “สามารถ” “ประมาณ” “คาดว่า” “หวังว่า” “ตั้งใจว่า” “อาจจะ” “วางแผนว่า” “มีแนวโน้มว่า” “คาดเดาว่า” “ควรจะ” หรือ “จะ” หรือข้อความอื่น ๆ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในข้อความที่ไม่มีคำลักษณะนี้ปรากฏอยู่มิได้แสดงว่าข้อความเหล่านี้ไม่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต ข้อความเกี่ยวกับความคาดหวัง ความเชื่อ แผนการ จุดประสงค์ ข้อสันนิษฐาน เหตุการณ์ในอนาคต และการกระทำในอนาคตของ Doo Prime จะเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต          

Doo Prime ใช้ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตอ้างอิงมาจากข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ ความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผน Doo Prime เชื่อว่าความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผนเหล่านั้นสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการคาดหมายและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สามารถรับรู้และไม่สามารถรับรู้ได้ แต่หลายเหตุการณ์เป็นเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของ Doo Prime ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ และการกระทำที่แตกต่างจากที่ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้แสดงออกหรือแสดงนัยไว้         

Doo Prime ไม่รับรองหรือรับประกันความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง หรือความสมบูรณ์ของข้อความเหล่านั้น Doo Prime ไม่มีหน้าที่ส่งข้อมูลหรือแก้ไขข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้     

การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง        

การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย        

โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง    

ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย        

ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล 

แชร์ไปที่

คลังความรู้

11.11 ที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์ได้เริ่มขึ้นแล้ว: หุ้นตัวไหนที่น่าจับตามอง? 

เทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 ในปี 2567 เริ่มเร็วขึ้นกว่าที่เคย!  Douyin ได้เริ่มโปรโมชั่น 11.11 ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม ตามมาด้วย JD และ Tmall ที่ได้เริ่มในวันที่ 14 ตุลาคม ซึ่งเร็วกว่าปีที่แล้วถึงสิบวัน ระยะเวลาที่ขยายเพิ่มขึ้นนี้ทำให้ 11.11 ปี 2567 กลายเป็นเทศกาลช้อปปิ้งที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา  นอกเหนือจากการขยายระยะเวลาแล้ว แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยังหันมาเน้นช่วยลดภาระให้กับผู้ค้า แทนที่จะเน้นการลดราคาจนเกิด “สงครามราคา” อย่างที่เคยเป็น ในส่วนของข้อมูลยอดขายรอบแรกของเทศกาล 11.11 ได้เผยออกมา ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เริ่มได้รับความสนใจในตลาด  ในโอกาสครบรอบ 16 ปีของเทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 ฟีเจอร์และแนวโน้มใหม่ ๆ กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับงานในปีนี้ หุ้นตัวไหนบ้างที่มีโอกาสได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการพัฒนานี้? และนักลงทุนจะสามารถวางแผนให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุดจากกระแสของเทศกาลนี้ได้อย่างไร? มาร่วมศึกษาไปพร้อมกัน  การไร้ซึ่งสงครามราคา: มีอะไรใหม่สำหรับ 11.11 ในปีนี้?  การเปลี่ยนแปลงสำคัญปีนี้คือแพลตฟอร์มต่าง ๆ ร่วมมือกันเพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการชำระเงินมากขึ้นกว่าเดิม Wu Jia รองประธานของ Alibaba และหัวหน้าฝ่าย […]

2024-11-7 | คลังความรู้

Trick or Trade: 3 หุ้นค้าปลีกที่น่าจับตามองในวันฮาโลวีนนี้! 

Trick or Trade วันฮาโลวีนไม่ใช่แค่การสวมชุดแฟนซี รับลูกกวาด และการตกแต่งที่น่าขนลุกเพียงเท่านั้น แต่มันยังเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ในการกอบโกยผลประโยชน์จากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในตลาดค้าปลีก  เมื่อวันฮาโลวีนใกล้เข้ามา บริษัทบางแห่งมีความสามารถในการดึงดูดผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งสร้างโอกาสที่น่าตื่นเต้นสำหรับนักลงทุนในภาคค้าปลีก  บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 3 หุ้นค้าปลีกที่น่าจับตามอง และจะได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายในช่วงฮาโลวีน พร้อมสำรวจโอกาสในการซื้อขายที่น่าสนใจสำหรับแต่ละตัว  การคาดการณ์การใช้จ่ายในวันฮาโลวีน 2567  ตามข้อมูลจากสหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติ (National Retail Federation) การใช้จ่ายในวันฮาโลวีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีแล้วปีเล่า ปีนี้ผู้บริโภคในสหรัฐฯ คาดว่าจะใช้จ่ายอย่างมหาศาลอีกครั้ง โดยมีการคาดการณ์เกินกว่า 11,000 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากผู้คนลงทุนในชุดแฟนซี ลูกกวาด การตกแต่ง และอุปกรณ์จัดงานปาร์ตี้ ผู้ค้าปลีกที่เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล สินค้าจัดงานปาร์ตี้ และของตกแต่งในราคาย่อมเยาว์จะได้รับประโยชน์สูงสุด โดยปีนี้มีความสนใจในประสบการณ์วันฮาโลวีนมากยิ่งขึ้น  ดังนั้น มาดูสามหุ้นค้าปลีกที่มีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้ดีในช่วงวันฮาโลวีนนี้กันเถอะ  หุ้นค้าปลีก 3 ตัวที่น่าจับตามองในวันฮัลโลวีนนี้  1. Amazon, Inc. (NASDAQ: AMZN)  ทำไมเทรดเดอร์ควรจับตามอง  Amazon กลายเป็นแหล่งที่ผู้บริโภคเลือกใช้สำหรับความต้องการในวันฮาโลวีน เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์หลากหลายและการจัดส่งที่รวดเร็ว ตั้งแต่ชุดแฟนซีไปจนถึงการสั่งซื้อขนมหวานจำนวนมาก โปรแกรม Prime ของ Amazon และตัวเลือกการจัดส่งที่รวดเร็วตอบสนองความต้องการในช่วงปลายฤดูกาล […]

2024-10-31 | คลังความรู้

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับ รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปี 2567 

ในบทความนี้ เราจะมาพิจารณาถึงผลกระทบที่เป็นไปได้ของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปี 2567 ในภาคส่วนต่างๆ เช่น พลังงาน แนวโน้มการพัฒนาที่ยั่งยืน และมุมมองต่อเศรษฐกิจเกิดใหม่

2024-10-24 | คลังความรู้